7 บทเรียนจากความผิดพลาดของการเลือกสีทาบ้าน

2964 จำนวนผู้เข้าชม  | 

7 บทเรียนจากความผิดพลาดของการเลือกสีทาบ้าน

 สำหรับคนที่ยังไม่เคยลอง อาจคิดว่าการเลือกสีตกแต่งบ้านเป็นเรื่องสนุก แต่สำหรับคนที่เคยมีประสบการณ์มาแล้ว หรือกำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจ ก็จะรู้เลยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด เพราะสีทาบ้านมีมากมายหลากหลายเฉดสีจนแทบเลือกไม่ถูก ดังนั้นเราก็เลยอยากให้ลองเก็บข้อผิดพลาดสำหรับการเลือกบ้านทั้ง 7 ข้อนี้เอาไว้ในใจ และพยายามหลีกเลี่ยงให้ไกล เผื่อจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินเลือกสีทาบ้านได้ง่ายขึ้น และเหมาะสมกับบ้านของตัวเองให้ได้มากที่สุด
 



1. ดูแค่โทนสีจากแผ่นเทียบสี
 
          แม้ตอนอยู่ในแผ่นเทียบสีจะดูสวยงาม ก็ไม่ได้หมายความว่า สีเหล่านั้นจะเหมาะกับบ้านของคุณ หรือทำให้บ้านดูสวยงามเสมอไป เพราะพื้นที่ที่จะนำไปตกแต่งมีขนาดใหญ่กว่าแผ่นเทียบมาก ดังนั้นคงจะดีกว่าหากนำสีที่ต้องการกลับไปทดลองทาบลงบนผนังของบ้านตัวเองก่อนตัดสินใจ หรือไม่ก็ลองใช้บริการเทียบสีบ้านแบบ 3 มิติ ที่เริ่มมีให้บริการกันมากขึ้น เผื่อจะเห็นภาพชัดกว่าจินตนาการเอาเอง





 
2. ลืมสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสี
 
          แม้ที่ร้านค้าจะมีตัวอย่างแผ่นทาสีสำเร็จรูปเอาไว้ให้ดู ก็ไม่ควรรีบตัดสินใจจนกว่าจะนำกลับมาลองตกแต่งที่บ้านของตัวเองก่อน เพื่อจะได้ดูว่า สีเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างในแต่ละช่วงของวัน ทั้งตอนเช้า ตอนกลางวัน และตอนกลางคืน เพราะแสงสามารถทำให้สีเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และถ้าหากจะเช็กให้แน่ใจจริง ๆ ก็ควรทิ้งไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก่อนตัดสินใจเลือก





3. ขาดการวางแผนที่ดี
 
          มีคนไม่น้อยที่มักจะตัดสินใจเลือกสีทาผนังก่อน แล้วค่อยตัดสินใจเลือกของตกแต่งทีหลัง ผลที่ได้ก็คือ มีหลากหลายโทนสีผสมอยู่ในห้องเดียวกันจนละลานตาไปหมด เพราะขาดการวางแผนที่ดี ดังนั้นหากเป็นไปได้ก็ควรจะกำหนดธีมและโทนสีขึ้นมาก่อน หรือถ้าจะง่ายกว่านั้นก็เลือกของตกแต่งกับเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกใจเป็นอันดับแรก ต่อจากนั้นค่อยตัดสินใจเลือกสีทาผนังอีกที






4. ใช้โทนสีที่ดูสว่างเกินไป
 
          แม้ว่าต้องการทำให้ผนังดูสว่างสดใส ก็ไม่จำเป็นต้องใช้โทนสีที่สว่างจ้าจนเกินไปเพื่อการนี้ แต่ถ้าหากมันเป็นความต้องการของคุณ แนะนำให้เลือกเฉดสีที่เข้มกว่าสีที่ต้องการ หรือนำสีโทนอื่น ๆ มาใช้สลับบ้างดีกว่าตกแต่งบ้านทั้งหลังด้วยสีสว่าง ๆ เช่น สีขาว เพียงสีเดียว
 




5. คิดว่าสีเบจ ช่วยสร้างความสมดุลได้
 
          แม้สีเบจจะเป็นสีกลาง ๆ ที่เข้ากันได้ดีกับทุกสี และดูไม่จืดชืดจนขาดสีสันเหมือนสีขาว แต่อย่างไรก็ตามการนำสีเบจมาใช้ ก็อาจไม่สวยงามอย่างที่คิดหากมีจำนวนมากเกินไป ในกรณีที่ต้องการนำสีกลางมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นสีเบจ หรือสีอื่น ๆ ในแนวควรจะนำมาตกแต่งไม่เกิน 25% ของการตกแต่งทั้งหมด เพราะเป็นจำนวนที่ช่วยให้องค์ประกอบต่าง ๆ ดูสมดุลกันมากกว่า
 




6. ติดอยู่กับกฎเดิม ๆ มากเกินไป
 
          บางครั้งการออกนอกกฎการตกแต่งบ้านเดิม ๆ ก็ส่งผลดีมากกว่าผลเสีย โดยเฉพาะหากเป็นสิ่งที่ต้องการ เช่น หลายคนคงเคยได้ยินมาว่า ไม่ควรทาสีเข้มในพื้นที่ขนาดเล็กทั้งที่ความจริงแล้วสีเข้ม ๆ เช่น สีชาโคล ก็สามารถทำให้บ้านมีบรรยากาศที่ดูอบอุ่น สบาย น่าสนใจ และเป็นกันเองได้เหมือนกัน





7. จำต้องทนอยู่ท่ามกลางสีที่ไม่ได้ชอบ
 
          หนึ่งในเรื่องที่ทำให้หลายคนรู้สึกผิดหวังเกี่ยวกับการทาสีบ้านใหม่ที่พบเห็นได้บ่อย ๆ ก็คือ พบว่าสีทาบ้านสีใหม่ไม่ได้ออกมาดี หรือดูสวยงามอย่างที่คิดเอาไว้เพราะส่วนใหญ่แล้วสีทาบ้านมักจะอ่อนลงหลังจากที่ทาลงไปบนผนัง แต่อย่างไรก็ตามปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการทาสีใหม่ที่เข้มหรืออ่อนกว่าสีเดิมประมาณ 1 เฉด ก็จะทำให้ได้สีทาบ้านที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น

 
          จะเลือกสีแต่งบ้านทั้งทีก็ควรคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ เพราะถ้าเลือกมั่ว ๆ หรือไม่มีข้อมูลมาก่อน แทนที่จะทำให้บ้านดูดีขึ้นก็อาจจะแย่ลงแทน แล้วคุณเองนั่นแหละที่จะเป็นคนเสียความรู้สึก แถมบางครั้งยังต้องเสียเงินซ้ำซ้อน เพื่อแก้ไขมันอีกด้วย ฉะนั้นตั้งใจเลือกให้ดีตั้งแต่แรก ก็จะส่งผลดีกับตัวคุณเองมากกว่านะคะ


ที่มาจาก : https://home.kapook.com/view106526.html ฟ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้